The Street Share: ลดน้ำหนักเท่าไร ด้วยวิธีไหนก็ไม่ลงสักที อาจเป็นเพราะระบบเผาผลาญพัง แนะนำวิธีซ่อมระบบเผาผลาญที่พังให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อให้ลดน้ำหนักได้ผล ระบบเผาผลาญพัง! ลดน้ำหนักยังไงก็ไม่เห็นผล แก้ไขได้อย่างไร?
ไม่มีกำหนดอายุ

ระบบเผาผลาญพัง! ลดน้ำหนักยังไงก็ไม่เห็นผล แก้ไขได้อย่างไร?

คุณเคยสังเกตว่าร่างกายของคุณเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ บ้างหรือเปล่า? เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบเผาผลาญของคุณเริ่มทำงานช้าลงแล้วก็ได้ โดยในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับระบบเผาผลาญพังว่าเป็นอย่างไร? และจะรู้ได้ยังไงว่าระบบเผาผลาญพัง รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวและวิธีปรับระบบเผาผลาญให้กลับมาดีจนน้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัดกัน

สารบัญ ระบบเผาผลาญพัง! ลดน้ำหนักยังไงก็ไม่เห็นผล แก้ไขได้อย่างไร?


ระบบเผาผลาญพัง คืออะไร?

ระบบเผาผลาญพัง คืออะไร?

การที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากอาหารช้าลงและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จนทําให้ไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น น้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น แถมยังอ่อนเพลียได้ง่ายอีกด้วย

ซึ่งลักษณะของระบบเผาผลาญดังกล่าวนี้ มักจะมีอาการของน้ําหนักตัวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและสะโพก ในบางรายอาจมีระดับน้ําตาลและไขมันในเลือดสูง โดยอาการของระบบเผาผลาญพังจะส่งผลเสียต่อร่างกายในหลายด้าน เช่น

เสี่ยงต่อโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองทํางานช้าลง ขาดสมาธิ อารมณ์แปรปรวน และภาวะหงุดหงิดง่ายได้อีกด้วย

สาเหตุของระบบเผาผลาญพัง เกิดจากอะไร?

สาเหตุของระบบเผาผลาญพัง เกิดจากอะไร?

การรู้สาเหตุต่างๆ ของอาการจะทำให้เราได้รู้ว่าเป็นสิ่งที่เคยทำหรือไม่ เพื่อนำมาป้องกันไม่ให้เกิดระบบเผาผลาญพัง ซึ่งสาเหตุหลักมีดังนี้

1. ได้รับแคลอรี่ไม่เพียงพอต่อวัน

การได้รับแคลอรี่ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องต้องการของร่างกายนั้น อาจทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญที่น้อยลง โดยการชะลอการเผาผลาญลงเพื่อประหยัดพลังงาน 

2. กินอาหารที่มีโปรตีนต่ำ

โปรตีนนั้น มีส่วนช่วยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย ถ้ากินโปรตีนน้อย ระบบเผาผลาญจะทํางานช้าลง จึงควรรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถั่ว นม และไข่ให้เพียงพอ

3. ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

เครื่องดื่มที่มีน้ําตาลสูงจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลินในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น จึงส่งผลให้การทำงานของระบบเผาผลาญลดลงและเก็บไขมันไว้มากขึ้น

4. อยู่กับที่เป็นเวลานาน

การอยู่นิ่งๆ โดยไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกําลังกาย จะส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่ได้ทํางาน ขาดการใช้พลังงาน การเผาผลาญจึงลดลง เลือดไหลเวียนไม่ดี ทําให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทํางานผิดปกติ นอกจากนี้ ยังอาจทําให้เกิดโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย

5. การพักผ่อนไม่เพียงพอ

เมื่อเราไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจะเกิดความอ่อนเพลียและไม่มีแรงได้ กระบวนการเผาผลาญต่างๆ ภายในร่างกายจะทํางานลดลง เพราะร่างกายไม่ได้พักฟื้น นอกจากนี้ การนอนหลับไม่เพียงพอยังทําให้ระดับฮอร์โมนต่างๆ ผิดปกติ จึงส่งผลให้ระบบเผาผลาญพลังงานทํางานบกพร่องไปด้วยนั่นเอง

6. ความเครียด

เมื่อเกิดความเครียดขึ้นจะทําให้ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลออกมา ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนที่ช่วยเผาผลาญพลังงาน อีกทั้งยังทําให้เกิดอาการนอนไม่หลับหรือมีอาการหลับมากเกินไป จึงส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายได้อีกด้วย

7. ขาดการฝึกความแข็งแรง

การออกกําลังกายและการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้ทํางานและใช้พลังงาน จึงเป็นการเพิ่มการเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งหากขาดการออกกําลังกาย กล้ามเนื้อจะอ่อนแอ ทําให้ระบบเผาผลาญพลังงานลดลง ระบบเมตาบอลิซึมก็จะทํางานผิดปกติ และส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม

8. สาเหตุทางการแพทย์

สาเหตุทางการแพทย์ที่ส่งผลต่อระบบเผาผลาญ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ไต ตับอ่อน เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเบาหวานจะมีระดับอินซูลินต่ํา ทําให้การทํางานของระบบเผาผลาญผิดปกติไปด้วย ดังนั้นควรตรวจสุขภาพเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันและรักษาอาการผิดปกติต่างๆ เหล่านี้

สังเกตอาการ รู้ได้อย่างไรว่าระบบเผาผลาญพัง?

สังเกตอาการ รู้ได้อย่างไรว่าระบบเผาผลาญพัง?

การสังเกตุอาการต่างๆ จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับอาการของระบบเผาผลาญพังเพื่อหาทางแก้ไขและป้องกันได้อย่างถูกวิธี โดยสามารถทำได้ ดังนี้

มีปัญหากับการลดน้ำหนัก

สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก สาเหตุหลักๆ อาจมาจากการมีระบบเผาผลาญพังหรือเผาผลาญพลังงานได้น้อย ซึ่งมักจะสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมันไว้ในร่างกายได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนเมตาบอลิซึมต่างๆ ภายในร่างกายที่ทําให้ไขมันสะสมเร็วขึ้นได้อีกด้วย

รู้สึกเหนื่อยง่าย

ความผิดปกติของระบบเผาผลาญก็สามารถส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยง่ายได้ เพราะเมื่อระบบเผาผลาญทํางานผิดปกติ ความสามารถในการสร้างพลังงานจากอาหารลดลง ทําให้เซลล์ต่างๆ ได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อจึงอ่อนแรงและเหนื่อยง่าย

อยากอาหารตลอดเวลา

อาการอยากอาหารตลอดเวลา อาจเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร ทําให้สัญญาณความอิ่มผิดปกติไป ร่างกายจึงรู้สึกหิวและอยากทานอาหารตลอดเวลา แม้จะกินอาหารไปแล้วก็ตาม

ท้องอืดเป็นประจำ

อาการท้องอืด อาจเกิดจากระบบย่อยอาหารทํางานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดภาวะอาหารไม่ย่อย สารอาหารไม่ถูกดูดซึมได้เท่าที่ควร และตกค้างอยู่ในกระเพาะนานเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องอืดแน่นเฟ้อนั่นเอง

ผิวหนังแห้งกว่าปกติ

ระบบเผาผลาญที่ทํางานบกพร่อง ทําให้ร่างกายไม่สามารถสร้างความชุ่มชื้นและน้ํามันตามผิวหนังได้อย่างเพียงพอ ผิวหนังจึงขาดความชุ่มชื้น มีลักษณะแห้งและหยาบกว่าปกติ นอกจากนี้ ความผิดปกติของฮอร์โมนที่ควบคุมการสร้างไขมันบนผิวหนังก็อาจทําให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และเกิดริ้วรอยที่แห้งกว่าปกติได้ด้วยเช่นกัน

รวม 9 วิธีฟื้นฟูระบบเผาผลาญพัง ให้กลับมาเป็นปกติ

รวม 9 วิธีฟื้นฟูระบบเผาผลาญพัง ให้กลับมาเป็นปกติ

เมื่อได้รู้ถึงอาการต่างๆ ที่เกิดจากระบบเผาผลาญพังกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาของการฟื้นฟูด้วยเคล็ดลับ 9 วิธีเปลี่ยนระบบเผาผลาญที่พังให้กลับมาเป็นปกติกันแล้ว จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. หันมาออกกำลังกาย

การออกกําลังกายไม่จําเป็นต้องหนักมาก เพียงแค่เดินเร็ว 30-40 นาที ต่อวัน ประมาณ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ก็สามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้แล้ว ซึ่งการออกกําลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทําให้ร่างกายสามารถขับถ่ายพิษออกไปได้ดีขึ้นและช่วยฟื้นฟูระบบเผาผลาญให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง

2. รักษาสมดุลด้วยปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสม

การรักษาสมดุลด้วยปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสม สามารถทําได้โดยการคํานวณหาปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการต่อวัน แล้วควบคุมปริมาณที่ได้รับจากอาหารให้ใกล้เคียงกับความต้องการของร่างกายโดยไม่มากหรือน้อยเกินไป ซึ่งวิธีนี้จะช่วยฟื้นฟูระบบเผาผลาญจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและมีพลังงานเพียงพอต่อการทํางาน ฮอร์โมนและระบบเผาผลาญจึงทํางานได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ

3. กินอาหารที่มีโปรตีน

อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว นม ไข่ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายได้ดี เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการย่อยโปรตีน นอกจากนี้ โปรตีนยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้อีกด้วย

4. รับประทานอาหารที่เผ็ดร้อนบ้าง

เมนูอาหารที่ส่วนผสมของพริกไทยหรือพริกชนิดต่างๆ เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นในการระบายความร้อน ทําให้อัตราการเผาผลาญพลังงานเพิ่มสูงขึ้น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญและลดการสะสมไขมันในร่างกาย จึงช่วยฟื้นฟูระบบเผาผลาญให้ดีขึ้นได้นั่นเอง

5. กินอาหารที่มีไฟเบอร์

อาหารที่มีไฟเบอร์สูง จำพวกผักและผลไม้ เช่น ถั่วเขียว ข้าวโอ๊ต บรอกโคลี มะละกอ ส้ม แอปเปิ้ล เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีใยอาหารช่วยเพิ่มความสามารถในการขับถ่าย และกระตุ้นให้ลําไส้ทํางานหนักขึ้น ทําให้ระบบย่อยอาหารและดูดซึมทํางานได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้

6. ดื่มน้ำให้มากๆ

การดื่มน้ําจะช่วยเจือจางสารต่างๆ ในร่างกาย ทําให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียและสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย กระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทํางานได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นได้อีกด้วย

7. ดื่มชา และกาแฟ

ชาและกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยต่อต้านความเสื่อมสภาพของเซลล์ และเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทําให้ระบบเผาผลาญทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

8. นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ควรนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างครบถ้วน ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสมดุลของฮอร์โมนและการทํางานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงปรับระบบเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น

9. ให้อาหารเช้าเป็นมื้อหลัก

การรับประทานอาหารเช้าเป็นมื้อหลัก ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและเส้นใย เช่น ไข่ ผลไม้ ธัญพืช และผัก เพื่อให้ร่างกายได้พลังงานเริ่มต้นวันอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยเริ่มกระบวนการเผาผลาญตั้งแต่เช้า และทําให้ระบบเผาผลาญทํางานได้อย่างสม่ําเสมอตลอดทั้งวัน

 

สรุป

อาการของระบบเผาผลาญพัง คือ การที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากอาหารช้าลงและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทําให้ไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น น้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น แถมยังอ่อนเพลียได้ง่ายอีกด้วย ซึ่งสาเหตุอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือโรคประจำตัวต่างๆ โดยใครที่มีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก สาเหตุหลักๆ อาจมาจากการมีระบบเผาผลาญที่ทํางานต่ํากว่าปกติ หรือเผาผลาญพลังงานได้น้อย ซึ่งมักจะสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมันไว้ในร่างกายได้ง่าย ซึ่งสามารถฟื้นฟูได้ด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการออกกำลังกาย การกิน และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ 

สำหรับใครที่กำลังฟื้นฟูระบบเผาผลาญพังนี้อยู่ ที่เดอะ สตรีท รัชดายังคงซัพพอร์ตความพยายามของคุณอยู่เสมอ เพราะมีทั้ง Foodland Supermarket ชั้น B ให้ได้เลือกซื้อวัตถุดิบหรืออาหารที่ช่วยคุมแคลอรี่ รวมถึง Jetts FitnessMinizize Dance Studio บนชั้น 2 MTM Muaythai Fitness ชั้น 3 และ The Street Arena ชั้น 5 ที่เปิดโอกาสให้ออกกำลังกายได้ทุกเวลาที่คุณสะดวกอีกด้วย รู้อย่างนี้จะรอช้าไม่ได้แล้ว ไปกันเลย

 

 

Related